
ประพฤติชอบเวลาใด
เวลานั้นชื่อว่าเป็นฤกษ์ดี มงคลดี เช้าดี รุ่งอรุณดี
จากหนังสือ พุทธศาสนสุภาษิต อมฤตพจนา
โดย พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
readandsmile.com
หลายสิบปีก่อน คุณยายย้ายไปอยู่ที่อเมริกา ทำอาหารไทยหลายชนิดทานกันในครอบครัวบ่อยๆ มีอาหารหลายอย่างของคุณยายที่ขึ้นชื่อ เช่น เค้กมะตูม ขนมแป้งจี่ รวมทั้งกระหรี่ปั๊บด้วยค่ะ คุณยายเคยทำกระหรี่ปั๊บไปขายที่วัดไทยในอเมริกามาแล้วด้วยค่ะ กระหรี่ปั๊บสูตรที่คุณยายทำบ่อย ๆ นี้ เข้าใจว่าคุณยายนำมาจากตำราอาหารเล่มหนึ่ง (ต้องขอขอบพระคุณเจ้าของตัวจริงด้วยนะคะ)
มาดูส่วนผสมกันเลยนะคะ สูตรนี้ใช้ได้กับกระหรี่ปั๊บ 20 ตัวค่ะ
ไส้ (ไส้ไก่ หากใครชอบไส้อื่นก็ดัดแปลงกันได้ค่ะ จะไส้หวาน ไส้เค็มสุดแล้วแต่)
– เห็ดฟาง 1/2 กิโล หั่นหยาบ ๆ
– สันในไก่ 3 ขีด หั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเล็ก ๆ หรือจะสับก็ได้ค่ะ
– หอมใหญ่ 1 ลูก หั่นหยาบ ๆ
– เกลือเล็กน้อย
– ผงกระหรี่ตามความชอบ
วิธีผัดไส้ ใส่น้ำมันพืชเล็กน้อยใส่เห็ดและหัวหอมลงไปผัดก่อน จากนั้นตามด้วยไก่ ใส่เกลือ ผัดให้สุกและแห้ง ยกขึ้นพักไว้
แป้งใน
– แป้งสาลี 1 ถ้วยตวง
– น้ำมันพืช 5 ช้อนโต๊ะ
ผสมส่วนผสมให้เข้ากันจนแป้งเนียน (ไม่ต้องนวด ขยำไปมาก็พอ)
จากนั้นตัดแบ่งแป้งออกเป็น 10 ก้อน เท่า ๆ กัน ปั้นเป็นก้อนกลมทิ้งไว้
แป้งนอก
แป้งสาลี 2 ถ้วยตวง น้ำมันพืช 7 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ เกลือ 1/2 ช้อนชา น้ำปูนใสเย็น (ใส่น้ำแข็งให้เย็นจัดๆ) 8 ช้อนโต๊ะ
ผสมส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันจนเนียน (ไม่ต้องนวดอีกเช่นเคย) แล้วตัดแบ่งให้ได้ 10 ก้อน แล้วปั้นเป็นลูกกลมๆ คล้ายๆ กับแป้งนอก
นำแป้งนอกมาทำให้เป็นแผ่นกลม
แล้วนำแป้งในมาใส่ไว้ข้างใน ห่อแป้งนอกปิดแป้งในให้มิด นำคว่ำลงในอ่าง ทำเช่นนี้จนครบ 10 ลูก (ช่วงห่อนี้ถ่ายรูปไม่ทันค่ะ)
นำแป้งที่คว่ำไว้ในอ่างแต่ละลูกนี้ มาคลึงโดยหงายรอยต่อด้านบนขึ้น คลึงให้ได้ความยาวประมาณ 6 นิ้ว
แล้วม้วนกลม
นำมาวางตามขวางแล้วคลึงยาว 12 นิ้ว จากนั้น ม้วนให้กลม (ช่วงนี้ก็ถ่ายภาพไม่ทันเช่นกัน ขอให้จินตนาการเอาว่า คล้ายๆ กับเมื่อกี้นี้) ใช้มือจับ ๆ ให้ได้รูปแบบนี้
ตัดแบ่งครึ่ง เหมือนเราแบ่งล้อรถใหญ่ 1 ล้อ ออกเป็น 2 ล้อ (ไม่ใช่ผ่าขวางแล้วไม่เป็นทรงล้อรถ) จากนั้นนำแป้งมาคลึงตามขวาง ให้ได้เป็นแผ่นกลม ใส่ไส้ แล้วปั้นเป็นตัว
จากนั้น นำไปทอดในน้ำมัน ไฟอ่อนๆ คุณยายแนะนำให้ใช้น้ำมันปาล์มค่ะ เห็นคุณยายบอกว่า น้ำมันปาล์มทอดแล้วจะกรอบค่ะ เข้าใจว่าคุณยายได้เคล็ดลับนี้จากรายการของคุณหมึกแดงค่ะ
ใครที่ตั้งใจจะลดน้ำหนัก เชิญอ่านเรื่องนี้
เคยสงสัยว่า มีคาถาอะไรลดน้ำหนักได้ไหม ยิ่งอายุมาก ยิ่งลดยาก
คุมอาหารก็แล้ว ออกกำลังกายก็แล้ว แต่เผลอไผลแค่บางที น้ำหนักที่ตั้งใจจะบอกลาก็กลับมาหาทุกที
ปีนี้ ก็ตั้งใจต่อเนื่องว่า จะลดจริง ๆ นะ แต่มีอุบายอะไรจะช่วยเราได้บ้างหนอ
ลองค้นดู มีคาถาลดน้ำหนักอยู่จริง ในพระสูตรที่ชื่อว่า โทณปากสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗
ความโดยย่อมีอยู่ว่า พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่กรุงสาวัตถี พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงเสวยข้าวสารหนึ่งทะนาน (หนึ่งลิตร) แล้วทรงอึดอัด เสด็จไปเฝ้าพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าทรงทราบอาการของพระเจ้าปเสนทิโกศลจึงได้ทรงพระคาถาว่า
“มนุษย์ผู้มีสติอยู่ทุกเมื่อ รู้จักประมาณในโภชนะที่ได้มา
ย่อมมีเวทนาเบาบาง เขาย่อมแก่ช้า ครองอายุได้ยืนนาน ฯ”
(คาถานี้ บาลีว่า
มนุชสฺส สทา สตีมโต มตฺตํ ชานโต ลทฺธโภชเน
ตนุกสฺส ภวนฺติ เวทนา สณิกํ ชีรติ อายุ ปาลยนฺติ.)
ณ เวลานั้น มาณพชื่อสุทัศนะ ยืนอยู่เบื้องพระปฤษฎางค์ (หลัง) พระเจ้าปเสนทิโกศลฯ
พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงตรัสเรียกสุทัสสนมาณพมาเพื่อรับสั่งให้เรียนคาถานี้ แล้วเวลาที่พระองค์ทรงบริโภคอาหารก็ให้ว่าคาถานี้ โดยจะให้ค่าตอบแทนวันละ 100 กหาปณะทุกวัน ฯ
(1 กหาปณะ มีอัตราเทียบเท่ากับ 20 มาสก หรือ 1 ตำลึง หรือ 4 บาทไทย)
ต่อมาสุทัสสนมาณพก็ได้ว่าคาถาดังกล่าว ในเวลาที่พระเจ้าปเสนทิโกศล เสวยพระกระยาหาร
และต่อมาอีกพระเจ้าปเสนทิโกศล ก็ทรงมีพระวรกายกระปรี้กระเปร่าดี ทรงลูบพระวรกายด้วยฝ่าพระหัตถ์ ทรงเปล่งพระอุทานนี้ในเวลานั้นว่า พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ทรงอนุเคราะห์เราด้วยประโยชน์ทั้ง 2 คือ ประโยชน์ภพนี้ และประโยชน์ภพหน้าหนอฯ
เพียงแค่ได้รับทราบเรื่องราวนี้ ก็เห็นด้วยกับพระเจ้าปเสนทิโกศล อย่างเกินร้อย
พระพุทธเจ้าทรงอนุเคราะห์พวกเราอย่างมาก เป็นบุญของชีวิตที่ได้เกิดมาในบวรพระพุทธศาสนา
ตอนนี้ เรื่องของความตั้งใจลดน้ำหนักของเราในปีนี้ ก็อยู่ที่ว่า จะตั้งสติได้ในเวลาบริโภคหรือไม่
แบ่งปันเรื่องราว โดยหวังว่า คาถานี้ จะช่วยเพื่อนร่วมอุดมการณ์ได้บ้าง ไม่มากก็น้อย
ข้อมูลอ้างอิงจาก http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=15&A=2631&Z=2656
ใกล้ปีใหม่ เชิญกันไปกราบพระบรมเกศาธาตุ จากประเทศศรีลังกา ซึ่งมาประดิษฐาน ณ พระตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร เพื่อความเป็นศิริมงคลของชีวิต เปิดให้สักการะทุกวันในเวลา 10.00 – 20.00 น. ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 15 มกราคม 2563
นอกจากจะได้กราบพระบรมเกศาธาตุแล้ว ยังเป็นโอกาสได้ชมความงามของทั้งพระตำหนักเพ็ชร พระตำหนักจันทร์ และได้ชมประตูและกำแพงพระนคร ที่อยู่ถัดออกไปนิดเดียวอีกด้วย
อากาศเย็นช่วงนี้ โชคดีได้ไปเดินเล่นผ่านแถววัดโพธิ์ ตรงบริเวณหน้ากรมการรักษาดินแดน พบสิ่งก่อสร้างรูปทรงน่าสนใจ เพื่อนที่ไปด้วยถามว่า
เอ๊ะ! นี่อะไร
อืมมม ดูป้ายกันไหมเธอ และนี่คือสิ่งที่เราได้ความรู้มาจากการอ่านป้าย
หอกลอง
สร้างในสมัยรัชกาลที่ 1 เมื่อ พ.ศ. 2325 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเหมือนกับหอกลองในสมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมทำด้วยไม้ ทาด้วยดินสีแดง มีด้วยกัน 3 ชั้น และแต่ละชั้นมีกลองขนาดใหญ่แขวนอยู่ คือ
• ใบแรกชื่อ “ย่ำพระสุรสีห์” ใช้ตีเพื่อบอกเวลา
• ใบที่สองชื่อ “อัคคีพินาศ” ตีเพื่อแจ้งเหตุเพลิงไหม้ และ
• ใบที่สามชื่อ “พิฆาตไพรี” ตีเพื่อแจ้งให้ทราบว่ามีสงคราม
ในสมัยรัชกาลที่ 3 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนยอดหอกลองจากมณฑปมาเป็นรูปยอดเกี้ยวแบบจีน และต่อมา รัชกาลที่ 4 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้แก้ไขกลับไปเป็นยอดทรงมณฑปตามแบบเดิม จนถึงสมัยรัชกาลที่ 5 หอกลองได้ถูกรื้อลงเพื่อใช้ที่ดินสร้างพระราชอุทยาน “สวนเจ้าเชตุ” และถูกสร้างขึ้นใหม่ตามรูปแบบเดิมอีกครั้งหนึ่งเมื่อปี พ.ศ. 2525 เพื่อฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ครบ 200 ปี
ถามอากู๋ ได้ความเพิ่มว่า กลองใบที่สามนี้ ไม่เคยถูกตีเลย เพราะบ้านเมืองเราสงบ ไม่เคยมีข้าศึกยกทัพมาประชิดกรุง
ขอเชิญชาวพระนคร เดินเล่นรอบเมือง เพื่อเรียนรู้และชื่นชมเรื่องราวริมทาง ยิ่งอากาศเย็นเยี่ยงนี้ ยิ่งดีต่อใจและกาย
นะคะ
มีธุระแถวสามย่านยามเช้า สายหน่อยเลยแวะมาหาอาหารเช้าที่สามย่านมิตรทาวน์ ร้านอาหารเยอะจนเลือกไม่ถูก
ตัดสินใจเลือกอาหารเบ ๆ ที่เขาทำให้ไม่เบ
ปาท่องโก๋ร้าน ka nom 2 ตัวยักษ์มาพร้อมดิปสองชนิด เลือกจากหกชนิด ถ้าเราสั่งชุดเล็ก
ทานที่ร้านแพงกว่าซื้อกลับบ้าน แต่ทานที่ร้านน่ะ ดิป refill ไม่อั้นนะ
กรอบนอกนุ่มใน ทานกับดิปแล้ว อร่อยดีโดยมีความต่างจากปาท่องโก๋ปากซอยออกไป เรื่องกลิ่นน้ำมันกลิ่นแอมโมเนีย ไม่มีให้ได้ดมกัน
อุปกรณ์ที่หยิบฉวยมาใช้จากในร้านได้ก็อลังการ สนุกสนานในการใช้ กรรไกร มีด ส้อม ช้อนใหญ่ช้อนเล็ก จานหลายแบบ เพลินเลย
สนนราคาระหว่างปาท่องโก๋ร้านนี้กับปากซอย ก็ย่อมต่างออกไปเช่นกัน
ไซส์ยักษ์ขนาดนี้ ไม่เหมาะกับคนโสด ทานคนเดียว เปลี่ยวใจ แถมไม่หมดด้วย ขนาดแบ่่งให้คุณลุงฝรั่งโต๊ะข้าง ๆ ทานแล้วก็ยังมิหมด
ขอเขาห่อกลับบ้าน เขาก็มาจัดการให้เรียบร้อยนะ
พนักงานในร้านบริการดีมาก และให้ข้อมูลอย่างละเอียด
ขอบคุณพนักงาน และคุณลุงฝรั่งเพื่อนร่วมโต๊ะที่อยู่อีกโต๊ะ ที่ทำให้เช้านี้ได้รับพลังงานและประสบการณ์ที่ดีต่อใจ
ทำให้วันนี้เป็นวันที่ดีอีกวันหนึ่ง
We live in a wonderful world that is full of beauty, charm and adventure. There is no end to the adventures that we can have if only we seek them with our eyes open.
— Jawaharlal Nehru —
ถ้าเป็นชาวกรุงเทพฯ แล้วมีคำถามว่า วันเดียวจะเที่ยวไหนดี “นครปฐม” น่าจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย สถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจ และมีร้านอาหารอร่อย ๆ ให้เลือก เที่ยวสำราญ ทานอร่อย ครบสูตร
เชื่อว่าร้อยละ 80% ที่นึกถึงสถานที่ท่องเที่ยวนครปฐม คงหนีไม่พ้นการไปสักการะพระปฐมเจดีย์ แต่ทริปที่เราไปวันนี้ แค่ผ่านแต่ยังมิได้แวะ เป้าหมายแรกเนื่องจากใกล้เที่ยงแล้ว ก็ไปแวะทานข้าวกลางวันเสียก่อน ที่ร้าน “กุ้งอบภูเขาไฟ” นอกจากไก่จะอบภูเขาไฟได้แล้ว กุ้งก็ได้รับสิทธิกับเขาด้วยเช่นกัน
ร้านกุ้งอบภูเขาไฟนี้ ขายมานาน ได้รับ Vote เป็นร้านยอดนิยมจากโลกออนไลน์ ต้องมาลองเอง จึงจะเข้าใจว่าเด็ดเช่นไร แต่ตอนนี้พอจะบรรยายให้ฟังเล็กน้อยพร้อมภาพประกอบได้
อิ่มหนำสำราญแล้ว ก็ไปเที่ยวชมพระราชวังสนามจันทร์ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กัน ขับรถไม่กี่นาทีก็ถึง
ตอนสำรวจจากอากู๋ ดูงง ๆ ว่า เขาเปิดให้เข้าชมเป็นช่วง ๆ หรือทั้งวัน แต่ไปเจอเว็บนี้เข้า https://www.museumthailand.com/th/museum/SanamChandraPalace ช่วยทำให้เรากระจ่าง ว่าเปิดทุกวันเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์นะ (ขอขอบคุณ ที่ทำให้เราได้ไปชมวัง ไม่ถอดใจกลับเสียก่อน)
เรื่องวิชาการอ่านจากเว็บนี้หรือเว็บอื่น ๆ ได้เลย อ่อ แต่เราไม่เสียค่าเข้าชมนะ เขาให้เข้าได้เลย พอดีเวลาน้อย ไม่ได้แวะถามรายละเอียดเพิ่มเติม เรื่องวัน เวลา และค่าเข้าชม
เดินเข้าไปข้างใน ประทับใจยิ่ง ต้นไม้ใหญ่ ๆ เยอะมาก ใหญ่แบบที่หาดูกันไม่ได้ง่าย ๆ มองไปก็เขียวร่มรื่นไปทั่ว อยากเดินเล่นนาน ๆ แต่เราไปกันหลายคน เดินถ่ายรูปพอสมควรแล้วตั้งใจว่า วันหน้าจะมาแบบละเอียด ๆ แน่นอน
วันเดียวเที่ยวแบบมักน้อย ทานอร่อย และไปในสถานที่สวยงาม อิ่มท้องและอิ่มเอมใจ ได้เวลากลับ กทม.
ความงามมีอยู่ทั่วไป เพียงเปิดตา เปิดใจ จะรับรู้ได้โดยพลัน
(เราว่างั้นนะ :-))
เรื่องเล่าของป้ากะน้า
เพราะชะตาพามาเจอกัน แต่ละวันจึงฮาเฮ
ความสุขง่าย ๆ ของน้า ที่ลอกเลียนแบบป้า กำลังเริ่มต้นขึ้น…
ทุกเช้าวันทำงาน น้าจะเดินไปที่จอดรถใกล้บ้าน เพื่อขับรถไปทำงาน แต่ะวันก็คล้ายกัน เดินไปถึง สตาร์ทรถ แล้วขับออกไป
แต่มีบางวัน ที่ไม่เหมือนทุกวัน
วันหนึ่ง เมื่อหลายวันมาแล้ว…
น้ากำลังเปิดประตูรถ สายตาแลเห็นคุณยายคนหนึ่งเดินผ่านมา เอ๊ะ นั่นคุณครูสมัยตอนที่น้าเรียน pre อนุบาลนี่นา น้าจึงยกมือไหว้และกล่าวคำสวัสดี
เหตุมีเพียงเท่านี้ แต่ผลยิ่งใหญ่ จนน้าน้ำตารื้น คุณครูบอกว่า สวัสดีค่ะ ดีใจจังที่หนูจำคนแก่ได้ มาทักทาย ยายเห็นหนูมาตั้งแต่เด็กเลย ดีใจ ๆ คุณพ่อคุณแม่เป็นอย่างไรบ้างคะ
คำทักทายไม่เท่าสายตา คุณเคยสังเกตแววตาของคนที่มีความสุขอย่างมาก บ้างไหม
และที่ทำให้ตื้นตันสุดขีดก็คือ การได้เป็นส่วนหนึ่งของเหตุแห่งความสุขนั้น
เล่าให้ป้าฟัง ป้าบอกว่า คนแก่นั้น แค่มีคนคิดถึงก็สุขแล้ว (ป้าเข้าใจคนแก่ดี)
ความสุขที่เกิดจากการทำให้ผู้อื่นมีความสุขนี้ มีพลังอันยิ่งใหญ่โดยแท้ (สำหรับน้านะคะ)
เรื่องเล่าของป้ากะน้า
เพราะชะตาพามาเจอกัน แต่ละวันจึงฮาเฮ
ป้ากะน้า อันที่จริงแล้ว ไม่มีอะไรเหมือนกันเลย ทั้งกายภาพ จินตภาพ และสถานภาพ อธิบายโดยง่ายคือ ป้าสูง น้าเตี้ย ป้าคิดอย่าง น้าคิดอย่าง (แต่หลัง ๆ ชักจะใกล้เคียงกันเข้าไปทุกที ความคิดนี้ osmosis กันได้ไม่ยากนัก) ที่สำคัญป้าฐานะดี ส่วนน้านั้น พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องได้
ข้อดีของความแตกต่าง คือการที่น้าได้เรียนรู้ ป้าเป็นคนมีความสุขง่าย ๆ อย่างเหลือเชื่อ ไม่เข้ากับฐานะ ตัวอย่างมีให้เห็นมาก เช่น กินน้ำแข็งบดแก้วเดียวสามบาท ป้าก็ฟินระดับสิบเหมือนนั่งในร้านกาแฟหรู ๆ หรือหมูปิ้งอร่อย ๆ สองไม้ ป้าก็ตาลอยหลุดอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะ ป้าทานง่าย แต่ถ่ายไม่คล่อง ถ้าวันไหนถ่ายคล่อง ป้าก็สุขราวกับถูกหวยรางวัลใหญ่ อย่างนั้นเลย
เห็นคนสุขง่าย ก็มาย้อนดูตนเองว่า อะไรที่ทำให้เรามีความสุขได้บ้าง ในทุกวันมีความสุขอยู่รอบ ๆ แต่เมื่อความทุกข์เข้าแทรก ก็ลืมความสุขเหล่านั้นไป แล้วไปจมอยู่กับกองทุกข์แทน เหมือนเอาของไม่ดีมาบังสายตา มองไม่เห็นของดีอย่างอื่นใดเลย
น่าเสียดายเวลาที่มี 24 ชั่วโมงเท่ากันทุกคน
แค่คิดต่างกัน 24 ชั่วโมงของแต่ละคนก็มีคุณภาพไม่เหมือนกันเลย
เอาโว้ย น้าจะตั้งต้นสุขง่าย ๆ บ้างล่ะนะ (วะ ฮ่าฮ่า)