จำใจจรจำพราก …..จากกัน

“เพิ่งพานพบสบกันพลันพลัดพราก
ไม่อยากจากก็ต้องจากยากผ่อนผัน
จำใจจรจำพรากจำจากกัน
ทุกชีวันเป็นเช่นนี้หนีไม่พ้น”
โดย ธมฺมวฑฺโฒ ภิกขุ

วันไหน จะมีโชค

คนขยันทั้งคืนวัน ไม่ซึมเซา

เรียกว่ามีแต่ละวันนำโชค

จากหนังสือ พุทธศาสนสุภาษิต อมฤตพจนา

โดย พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)

ดูฤกษ์ ด้วยตนเอง อย่างง่าย

ประพฤติชอบเวลาใด
เวลานั้นชื่อว่าเป็นฤกษ์ดี มงคลดี เช้าดี รุ่งอรุณดี

จากหนังสือ พุทธศาสนสุภาษิต อมฤตพจนา

โดย พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)

ไม่ได้ -ได้

ไม่ได้แต่ชอบธรรมดีกว่า

ถึงได้แต่ไม่ชอบธรรมจะดีอะไร

จากหนังสือ พุทธศาสนสุภาษิต อมฤตพจนา

โดย พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)

กระหรี่ปั๊บ สูตรคุณยาย

หลายสิบปีก่อน คุณยายย้ายไปอยู่ที่อเมริกา ทำอาหารไทยหลายชนิดทานกันในครอบครัวบ่อยๆ มีอาหารหลายอย่างของคุณยายที่ขึ้นชื่อ เช่น เค้กมะตูม ขนมแป้งจี่ รวมทั้งกระหรี่ปั๊บด้วยค่ะ คุณยายเคยทำกระหรี่ปั๊บไปขายที่วัดไทยในอเมริกามาแล้วด้วยค่ะ กระหรี่ปั๊บสูตรที่คุณยายทำบ่อย ๆ นี้ เข้าใจว่าคุณยายนำมาจากตำราอาหารเล่มหนึ่ง (ต้องขอขอบพระคุณเจ้าของตัวจริงด้วยนะคะ)

มาดูส่วนผสมกันเลยนะคะ สูตรนี้ใช้ได้กับกระหรี่ปั๊บ 20 ตัวค่ะ

ไส้ (ไส้ไก่ หากใครชอบไส้อื่นก็ดัดแปลงกันได้ค่ะ จะไส้หวาน ไส้เค็มสุดแล้วแต่)
– เห็ดฟาง 1/2 กิโล หั่นหยาบ ๆ
– สันในไก่ 3 ขีด หั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเล็ก ๆ หรือจะสับก็ได้ค่ะ
– หอมใหญ่ 1 ลูก หั่นหยาบ ๆ
– เกลือเล็กน้อย
– ผงกระหรี่ตามความชอบ
วิธีผัดไส้ ใส่น้ำมันพืชเล็กน้อยใส่เห็ดและหัวหอมลงไปผัดก่อน จากนั้นตามด้วยไก่ ใส่เกลือ ผัดให้สุกและแห้ง ยกขึ้นพักไว้

แป้งใน
– แป้งสาลี 1 ถ้วยตวง
– น้ำมันพืช 5 ช้อนโต๊ะ
ผสมส่วนผสมให้เข้ากันจนแป้งเนียน (ไม่ต้องนวด ขยำไปมาก็พอ)

จากนั้นตัดแบ่งแป้งออกเป็น 10 ก้อน เท่า ๆ กัน ปั้นเป็นก้อนกลมทิ้งไว้

แป้งนอก
แป้งสาลี 2 ถ้วยตวง น้ำมันพืช 7 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ เกลือ 1/2 ช้อนชา น้ำปูนใสเย็น (ใส่น้ำแข็งให้เย็นจัดๆ) 8 ช้อนโต๊ะ

ผสมส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันจนเนียน (ไม่ต้องนวดอีกเช่นเคย) แล้วตัดแบ่งให้ได้ 10 ก้อน แล้วปั้นเป็นลูกกลมๆ คล้ายๆ กับแป้งนอก

นำแป้งนอกมาทำให้เป็นแผ่นกลม

แล้วนำแป้งในมาใส่ไว้ข้างใน ห่อแป้งนอกปิดแป้งในให้มิด นำคว่ำลงในอ่าง ทำเช่นนี้จนครบ 10 ลูก (ช่วงห่อนี้ถ่ายรูปไม่ทันค่ะ)

นำแป้งที่คว่ำไว้ในอ่างแต่ละลูกนี้ มาคลึงโดยหงายรอยต่อด้านบนขึ้น คลึงให้ได้ความยาวประมาณ 6 นิ้ว

แล้วม้วนกลม

นำมาวางตามขวางแล้วคลึงยาว 12 นิ้ว จากนั้น ม้วนให้กลม (ช่วงนี้ก็ถ่ายภาพไม่ทันเช่นกัน ขอให้จินตนาการเอาว่า คล้ายๆ กับเมื่อกี้นี้) ใช้มือจับ ๆ ให้ได้รูปแบบนี้

ตัดแบ่งครึ่ง เหมือนเราแบ่งล้อรถใหญ่ 1 ล้อ ออกเป็น 2 ล้อ (ไม่ใช่ผ่าขวางแล้วไม่เป็นทรงล้อรถ) จากนั้นนำแป้งมาคลึงตามขวาง ให้ได้เป็นแผ่นกลม ใส่ไส้ แล้วปั้นเป็นตัว

จากนั้น นำไปทอดในน้ำมัน ไฟอ่อนๆ คุณยายแนะนำให้ใช้น้ำมันปาล์มค่ะ เห็นคุณยายบอกว่า น้ำมันปาล์มทอดแล้วจะกรอบค่ะ เข้าใจว่าคุณยายได้เคล็ดลับนี้จากรายการของคุณหมึกแดงค่ะ

คาถาลดความอ้วน

ใครที่ตั้งใจจะลดน้ำหนัก เชิญอ่านเรื่องนี้

เคยสงสัยว่า มีคาถาอะไรลดน้ำหนักได้ไหม ยิ่งอายุมาก ยิ่งลดยาก
คุมอาหารก็แล้ว ออกกำลังกายก็แล้ว แต่เผลอไผลแค่บางที น้ำหนักที่ตั้งใจจะบอกลาก็กลับมาหาทุกที

ปีนี้ ก็ตั้งใจต่อเนื่องว่า จะลดจริง ๆ นะ แต่มีอุบายอะไรจะช่วยเราได้บ้างหนอ

ลองค้นดู มีคาถาลดน้ำหนักอยู่จริง ในพระสูตรที่ชื่อว่า โทณปากสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗

ความโดยย่อมีอยู่ว่า พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่กรุงสาวัตถี พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงเสวยข้าวสารหนึ่งทะนาน (หนึ่งลิตร) แล้วทรงอึดอัด เสด็จไปเฝ้าพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าทรงทราบอาการของพระเจ้าปเสนทิโกศลจึงได้ทรงพระคาถาว่า

“มนุษย์ผู้มีสติอยู่ทุกเมื่อ รู้จักประมาณในโภชนะที่ได้มา
ย่อมมีเวทนาเบาบาง เขาย่อมแก่ช้า ครองอายุได้ยืนนาน ฯ”

(คาถานี้ บาลีว่า
มนุชสฺส สทา สตีมโต มตฺตํ ชานโต ลทฺธโภชเน
ตนุกสฺส ภวนฺติ เวทนา สณิกํ ชีรติ อายุ ปาลยนฺติ.)

ณ เวลานั้น มาณพชื่อสุทัศนะ ยืนอยู่เบื้องพระปฤษฎางค์ (หลัง) พระเจ้าปเสนทิโกศลฯ

พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงตรัสเรียกสุทัสสนมาณพมาเพื่อรับสั่งให้เรียนคาถานี้ แล้วเวลาที่พระองค์ทรงบริโภคอาหารก็ให้ว่าคาถานี้ โดยจะให้ค่าตอบแทนวันละ 100 กหาปณะทุกวัน ฯ
(1 กหาปณะ มีอัตราเทียบเท่ากับ 20 มาสก หรือ 1 ตำลึง หรือ 4 บาทไทย)

ต่อมาสุทัสสนมาณพก็ได้ว่าคาถาดังกล่าว ในเวลาที่พระเจ้าปเสนทิโกศล เสวยพระกระยาหาร

และต่อมาอีกพระเจ้าปเสนทิโกศล ก็ทรงมีพระวรกายกระปรี้กระเปร่าดี ทรงลูบพระวรกายด้วยฝ่าพระหัตถ์ ทรงเปล่งพระอุทานนี้ในเวลานั้นว่า พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ทรงอนุเคราะห์เราด้วยประโยชน์ทั้ง 2 คือ ประโยชน์ภพนี้ และประโยชน์ภพหน้าหนอฯ

เพียงแค่ได้รับทราบเรื่องราวนี้ ก็เห็นด้วยกับพระเจ้าปเสนทิโกศล อย่างเกินร้อย

พระพุทธเจ้าทรงอนุเคราะห์พวกเราอย่างมาก เป็นบุญของชีวิตที่ได้เกิดมาในบวรพระพุทธศาสนา

ตอนนี้ เรื่องของความตั้งใจลดน้ำหนักของเราในปีนี้ ก็อยู่ที่ว่า จะตั้งสติได้ในเวลาบริโภคหรือไม่

แบ่งปันเรื่องราว โดยหวังว่า คาถานี้ จะช่วยเพื่อนร่วมอุดมการณ์ได้บ้าง ไม่มากก็น้อย

ข้อมูลอ้างอิงจาก http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=15&A=2631&Z=2656

ปีใหม่ไปไหนดี​: กราบพระบรมเกศาธาตุที่วัดบวรฯ

ใกล้ปีใหม่​ เชิญกันไปกราบพระบรมเกศาธาตุ จากประเทศศรีลังกา ซึ่งมาประดิษฐาน ณ พระตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร​ เพื่อความเป็นศิริมงคลของชีวิต เปิดให้สักการะทุกวันในเวลา 10.00 – 20.00 น. ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 15 มกราคม 2563

นอกจากจะได้กราบพระบรมเกศาธาตุแล้ว​ ยังเป็นโอกาสได้ชมความงามของทั้งพระตำหนักเพ็ชร​ พระตำหนักจันทร์​ และได้ชมประตูและกำแพงพระนคร​ ที่อยู่ถัดออกไปนิดเดียวอีกด้วย

เรื่องราว ริมทาง : หอกลอง

อากาศเย็นช่วงนี้ โชคดีได้ไปเดินเล่นผ่านแถววัดโพธิ์ ตรงบริเวณหน้ากรมการรักษาดินแดน พบสิ่งก่อสร้างรูปทรงน่าสนใจ เพื่อนที่ไปด้วยถามว่า

เอ๊ะ! นี่อะไร

อืมมม ดูป้ายกันไหมเธอ และนี่คือสิ่งที่เราได้ความรู้มาจากการอ่านป้าย

หอกลอง

สร้างในสมัยรัชกาลที่ 1 เมื่อ พ.ศ. 2325 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเหมือนกับหอกลองในสมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมทำด้วยไม้ ทาด้วยดินสีแดง มีด้วยกัน 3 ชั้น และแต่ละชั้นมีกลองขนาดใหญ่แขวนอยู่ คือ

• ใบแรกชื่อ “ย่ำพระสุรสีห์” ใช้ตีเพื่อบอกเวลา
• ใบที่สองชื่อ “อัคคีพินาศ” ตีเพื่อแจ้งเหตุเพลิงไหม้ และ
• ใบที่สามชื่อ “พิฆาตไพรี” ตีเพื่อแจ้งให้ทราบว่ามีสงคราม

ในสมัยรัชกาลที่ 3 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนยอดหอกลองจากมณฑปมาเป็นรูปยอดเกี้ยวแบบจีน และต่อมา รัชกาลที่ 4 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้แก้ไขกลับไปเป็นยอดทรงมณฑปตามแบบเดิม จนถึงสมัยรัชกาลที่ 5 หอกลองได้ถูกรื้อลงเพื่อใช้ที่ดินสร้างพระราชอุทยาน “สวนเจ้าเชตุ” และถูกสร้างขึ้นใหม่ตามรูปแบบเดิมอีกครั้งหนึ่งเมื่อปี พ.ศ. 2525 เพื่อฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ครบ 200 ปี

ถามอากู๋ ได้ความเพิ่มว่า กลองใบที่สามนี้ ไม่เคยถูกตีเลย เพราะบ้านเมืองเราสงบ ไม่เคยมีข้าศึกยกทัพมาประชิดกรุง

ขอเชิญชาวพระนคร เดินเล่นรอบเมือง เพื่อเรียนรู้และชื่นชมเรื่องราวริมทาง ยิ่งอากาศเย็นเยี่ยงนี้ ยิ่งดีต่อใจและกาย
นะคะ

มื้อเช้าแบบนี้​ ดีต่อใจ

มีธุระแถวสามย่านยามเช้า​ สายหน่อยเลยแวะมาหาอาหารเช้าที่สามย่านมิตรทาวน์​ ร้านอาหารเยอะจนเลือกไม่ถูก

ตัดสินใจเลือกอาหารเบ​ ๆ​ ที่เขาทำให้ไม่เบ​
ปาท่องโก๋ร้าน​ ka​ nom 2 ตัวยักษ์มาพร้อมดิปสองชนิด​ เลือกจาก​หกชนิด ถ้าเราสั่งชุดเล็ก

ทานที่ร้านแพงกว่าซื้อกลับบ้าน​ แต่ทานที่ร้านน่ะ​ ดิป​ refill ไม่อั้นนะ

กรอบนอก​นุ่มใน ทานกับดิปแล้ว​ อร่อยดี​โดยมีความต่างจากปาท่องโก๋ปากซอยออกไป​ เรื่องกลิ่นน้ำมันกลิ่นแอมโมเนีย​ ไม่มีให้ได้ดมกัน

อุปกรณ์​ที่หยิบฉวยมาใช้จากในร้านได้ก็อลังการ​ สนุกสนานในการใช้ กรรไกร​ มีด​ ส้อม​ ช้อนใหญ่ช้อนเล็ก​ จานหลายแบบ​ เพลินเลย

สนนราคา​ระหว่างปาท่องโก๋ร้านนี้กับปากซอย ก็ย่อมต่างออกไปเช่นกัน

ไซส์ยักษ์​ขนาดนี้​ ไม่เหมาะกับคนโสด​ ทานคนเดียว​ เปลี่ยวใจ​ แถมไม่หมดด้วย​ ขนาดแบ่่งให้คุณลุงฝรั่งโต๊ะข้าง​ ๆ​ ทานแล้วก็ยังมิหมด

ขอเขาห่อกลับบ้าน​ เขาก็มาจัดการให้เรียบร้อยนะ

พนักงานในร้านบริการดีมาก​ และให้ข้อมูลอย่างละเอียด

ขอบคุณ​พนักงาน​ และคุณลุงฝรั่งเพื่อนร่วมโต๊ะที่อยู่อีกโต๊ะ​ ที่ทำให้เช้านี้ได้รับพลังงานและประสบการณ์​ที่ดีต่อใจ

ทำให้วันนี้เป็นวันที่ดีอีกวันหนึ่ง